หากพูดถึงอาการ ผมร่วงผมบาง ก็คงไม่มีใครอยากจะให้เกิดขึ้นกับตัวเองหรอก ใช่มั้ยล่ะคะ แต่ถ้ามันหลีกเลี่ยงไม่ได้จริง ๆ จะทำยังไงไม่ให้มันบางไปมากกว่านี้ล่ะ? มีวิธีอื่น นอกจากการปลูกผมหรือเปล่า? ก่อนอื่นเรามาทำความเข้าใจกันว่าสาเหตุของผมร่วงผมบางเกิดมาได้ยังไง มาติดตามกันค่ะ
ผมร่วงผมบาง เกิดจากอะไร
ปัญหาผมร่วง ผมบาง นั้นเกิดได้จากหลายสาเหตุ เราสามารถแบ่งโรคผมร่วงออกเป็น 2 กลุ่มใหญ่ๆ คือชนิดที่ไม่มีแผลเป็นบนหนังศีรษะ (Non-Scarring Alopecia) และชนิดที่มีแผลเป็นบนหนังศีรษะ (Scarring Alopecia) วันนี้เราจะพูดถึงปัญหา ผมร่วงผมบาง จากกรรมพันธุ์และฮอร์โมน (Androgenetic Alopecia) ซึ่งถือว่าเป็นโรคผมร่วงชนิดที่ไม่มีแผลเป็นบนหนังศีรษะนั่นเอง
เรียกได้ว่าสาเหตุจากกรรมพันธุ์และฮอร์โมน (Androgenetic Alopecia) นั้นถือว่าพบบ่อยและเป็นสาเหตุหลักของคนผมร่วง ผมบาง ซึ่งพบได้ทั้งในผู้หญิงและผู้ชายเลยค่ะ
ภาวะนี้เกิดจากองค์ประกอบหลักๆ 3 อย่าง คือ ฮอร์โมน พันธุกรรม และอายุ โดยลักษณะสำคัญที่จะพบคือ ผมจะมีเส้นผ่านศูนย์กลางที่เล็กลงเรื่อย (Miniaturization) และบริเวณของผมที่ร่วงจะมีแพทเทิร์นที่ชัดเจนคือ ในผู้ชายแนวไรผมด้านหน้าจะร่นขึ้น ที่เราเรียกกันว่าหัวเถิกนั่นแหละ หรือทำให้เห็นแนวไรผมเป็นรูปตัว M บางคนอาจมีผมบริเวณขวัญที่บางลง หรือเรียกกันทั่วไปว่าหัวไข่ดาว ซึ่งก็จะมีระดับความรุนแรงที่แตกต่างกันไปดังรูป

วิธีการรักษาผมร่วงผมบาง
การกินยา

ยาปลูกผม จะมี 2 ตัวที่เราอาจจะเคยได้ยินผ่านหูมาบ้างอย่าง ไมนอกซิดิล (Minoxidil) และฟินาสเตอร์ไรด์ (Finasteride) แต่ถึงอย่างนั้น คนไข้ก็ไม่ควรที่จะหาซื้อยามากินเอง แต่ควรปรึกษาแพทย์ผู้เชี่ยวชาญเสียก่อน เพราะยาแต่ละชนิด มีผลข้างเคียง และปริมาณการใช้ที่ต่างกันค่ะ
การทายา
แม้ว่าการกินยา จะได้ผลลัพธ์เป็นที่น่าพึงพอใจมากกว่า แต่การใช้ยาทาเฉพาะจุด ก็ให้ผลลัพธ์ที่ดีเช่นกัน โดยชนิดที่เลือกใช้กันส่วนใหญ่ จะเป็นยาทาประเภท ไมนอกซิดิล (Minoxidil) ซึ่งการรักษาผมร่วงผมบางด้วยยาทานั้น จำเป็นที่จะต้องมีความสม่ำเสมอในการทายา และต้องใช้เวลาตั้งแต่ 3-6 เดือนขึ้นไป จึงจะเห็นการเปลี่ยนแปลงที่ชัดเจนค่ะ ในข้อนี้ขอแอบกระซิบนิดนึงว่า ทาง Hairsmith Clinic ของเรา มียาทาแบบ ไมนอกซิดิล (Minoxidil) ผสมฟินาสเตอร์ไรด์ (Finasteride) ด้วย ซึ่งได้ผลดี และยังไม่มีวางจำหน่ายที่ไหนค่ะ
การทำทรีทเม้นต์

ทรีทเม้นต์ PRP (Platelet Rich Plasma) เป็นการเจาะเลือดของคนไข้เองมาปั่นเอาส่วนพลาสมาที่มีเกล็ดเลือดเข้มข้น จากนั้นนำมาฉีดบริเวณที่มีปัญหาผมบาง หมอแนะนำให้ทำเดือนละครั้งติดต่อกัน 3 เดือน จากนั้นก็ค่อยทำทุกๆ 3-6 เดือนค่ะ การทำทรีทเม้นต์ PRP จะเห็นผลชัดเจนหลัง 6 เดือนเป็นต้นไป
ทรีทเม้นต์ PRP ที่ Hairsmith Clinic ดีอย่างไร
ของเราจะใช้หลอดที่ออกแบบมาเฉพาะเพื่อให้สามารถแยกชั้นได้ง่าย และเป็นระบบปิดจึงมั่นใจได้ว่าจะไม่มีการปนเปื้อนใดๆ แน่นอน รวมทั้งเครื่องปั่น Centrifuge ซึ่งเป็นเครื่องที่มีคุณภาพสูงเช่นกัน

อ่านเพิ่มเติม : 6 ข้อเท็จจริงที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจทำ PRP
การปลูกผม
วิธีสุดท้าย ที่ถ้าลองทำมาแล้วทุกวิธี แต่ก็ยังไม่ได้ผล การปลูกผมก็ถือเป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่คุ้มค่ากับการลงทุนไม่น้อย เพราะนอกจากจะทำให้คนไข้กลับมามีความมั่นใจแล้ว ยังเป็นการรักษาปัญหาหัวล้านแบบถาวรอีกด้วยค่ะ


แต่ไม่ว่าจะวิธีไหนๆ การหมั่นสังเกตตัวเอง และการได้รับการรักษาฟื้นฟูอย่างทันท่วงที ก็ถือเป็นวิธีที่ดีกว่า ในทุกๆ การรักษาเลยนะคะ อย่าปล่อยให้หัวล้านจนเกินแก้ แล้วจะหาว่าหมอไม่เตือน!