fbpx

โรคผมร่วง Frontal fibrosing alopecia (FFA) คืออะไร รักษาหายหรือไม่

/
/
โรคผมร่วง Frontal fibrosing alopecia (FFA) คืออะไร รักษาหายหรือไม่
โรคผมร่วงเฉพาะจุด FFA

โรคผมร่วงแบบ Frontal Fibrosing Alopecia หรือที่เรียกกันว่า FFA เป็นภาวะผมร่วงชนิดมีแผลเป็น ส่วนใหญ่มีผมร่วงเป็นแถบ เกิดขึ้นเฉพาะจุดที่บริเวณหน้าผากและขมับค่ะ โรคนี้ทำให้เส้นผมบางลงและถอยร่นจนสังเกตได้ นอกจากจะกระทบต่อความมั่นใจแล้ว คนไข้ยังต้องการการดูแลที่เหมาะสมเพื่อป้องกันการลุกลามขยายเป็นวงกว้างค่ะ  ในบทความนี้หมอจะพาไปทำความรู้จักกับโรคนี้ ทั้งสาเหตุ อาการ และวิธีการรักษาที่ได้ผลค่ะ

โรคผมร่วงแบบฟรอนทอล ไฟบรอสซิง (Frontal Fibrosing Alopecia : FFA) เป็นโรคผิวหนังอักเสบที่หนังศีรษะ ส่งผลให้รากผมถูกทำลายทำให้ไม่สามารถงอกเส้นผมขึ้นมาใหม่ได้ค่ะ ลักษณะเด่นของโรคนี้คือ การสูญเสียเส้นผมถาวรบริเวณขอบผมด้านหน้าและแนวขมับ ทำให้แนวผมร่นและบางลงอย่างเห็นได้ชัด

frontal fibrosing alopecia symptoms hairline rash
ขอขอบคุณภาพจาก www.aad.org

โรคนี้พบบ่อยในผู้หญิงวัยหมดประจำเดือน เกี่ยวข้องกับภาวะฮอร์โมนเพศหญิงลดลง และสามารถเกิดในผู้ชายและวัยอื่น ๆ ได้เหมือนกันค่ะ แต่โอกาสเกิดค่อนข้างน้อย หากสังเกตเห็นแนวผมถอยร่น ควรรีบไปพบแพทย์เพื่อวินิจฉัยและรักษาได้ทันเวลานะคะ

ปัจจุบันโรคผมร่วงแบบ Frontal Fibrosing Alopecia (FFA) ยังหาสาเหตุได้ไม่แน่ชัด 100% ค่ะ แต่มีหลายทฤษฎีที่อธิบายถึงปัจจัยที่อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดโรคได้ เช่น

  1. ระบบภูมิคุ้มกันทำงานผิดปกติ

เกิดจากระบบภูมิคุ้มกันของร่างกายโจมตีรูขุมขนเองจนเกิดการอักเสบ ทำให้เซลล์รูขุมขนถูกทำลายและไม่สามารถงอกเส้นผมใหม่ได้ค่ะ ทฤษฎีนี้สอดคล้องกับลักษณะของโรคที่จัดอยู่ในกลุ่ม โรคผมร่วงแบบมีแผลเป็น (Scarring Alopecia) ซึ่งมักมีการอักเสบที่ทำลายรูขุมขนอย่างถาวร

  1. การเปลี่ยนแปลงทางฮอร์โมน

โรคผมร่วง FFA พบได้บ่อยในผู้หญิงวัยใกล้หมดประจำเดือนค่ะ ซึ่งเกี่ยวข้องกับการเปลี่ยนแปลงของฮอร์โมนเพศหญิง อย่างฮอร์โมนเอสโตรเจน (Estrogen) ที่ลดลงในช่วงวัยนี้ ส่งผลต่อการทำงานของรูขุมขน ทำให้เกิดการอักเสบและการร่วงของเส้นผม นอกจากนี้ยังพบว่าฮอร์โมนเพศชายบางชนิด เช่น แอนโดรเจน (Androgen) อาจมีการกระตุ้นการอักเสบในรูขุมขนได้ด้วยเหมือนกันค่ะ

  1. ปัจจัยทางพันธุกรรม

พันธุกรรมก็มีส่วนสำคัญในโรคนี้เหมือนกันค่ะ หากมีคนในครอบครัวที่เคยเป็นโรค FFA หรือโรคผมร่วงชนิดอื่น โอกาสที่จะเกิดโรคนี้กับสมาชิกในครอบครัวก็มีเพิ่มขึ้น เป็นการบอกได้ว่าโรคนี้อาจมีการถ่ายทอดทางพันธุกรรม แต่ยังต้องมีการศึกษาและวิจัยเพิ่มเติมเพื่อระบุว่ายีนตัวไหนที่เกี่ยวข้อง

ถึงแม้ว่า โรคผมร่วงแบบ Frontal Fibrosing Alopecia จะยังหาสาเหตุที่แน่ชัดไม่ได้ แต่การเข้าใจปัจจัยต่างๆ จะช่วยให้แพทย์วินิจฉัยและทำการรักษามีประสิทธิภาพมากขึ้นค่ะ

โรคผมร่วงแบบ Frontal Fibrosing Alopecia (FFA) มีอาการที่สังเกตได้ชัดค่ะ โดยเฉพาะการสูญเสียเส้นผมบริเวณขอบผมด้านหน้าและขมับ มักเริ่มต้นจากแนวผมที่ค่อยๆ ถอยร่นและบางลงอย่างต่อเนื่อง อาการนี้อาจแย่ไปจนทำให้แนวผมร่นขึ้นอย่างถาวร ทำให้ศีรษะล้าน เกิดเป็นพื้นที่ว่างชัดเจน นอกจากการสูญเสียเส้นผมบริเวณหน้าผากและขมับแล้ว ยังมีอาการอื่นๆ ที่สามารถพบร่วมด้วยค่ะ  เช่น

  • ขนคิ้วอาจบางลงหรือหลุดร่วงทั้งหมดค่ะ
  • บริเวณที่เส้นผมหายไปจะมีผิวหนังที่เรียบตึงและมันวาวจากการสูญเสียรูขุมขน
  • ผู้ป่วยบางรายอาจมีอาการคันหรือรู้สึกแสบร้อนบริเวณหนังศีรษะที่ผมร่วงได้ ซึ่งเป็นผลจากการอักเสบของรูขุมขน
ลักษณะอาการของโรค FFA
ขอขอบคุณภาพจาก www.healthline.com

อาการเหล่านี้สามารถลุกลามได้หากไม่ได้รับการรักษาที่เหมาะสมในระยะเริ่มต้นค่ะ ดังนั้น หากสังเกตเห็นสัญญาณเหล่านี้ ควรรีบปรึกษาแพทย์เฉพาะทางเพื่อรับการวินิจฉัยและรักษาโดยเร็ว

การวินิจฉัยโรคผมร่วงแบบ FFA ต้องอาศัยการตรวจที่ละเอียดและเฉพาะทางโดยแพทย์ผิวหนังค่ะ เนื่องจากเป็นโรคที่เกี่ยวข้องกับการอักเสบของรูขุมขน การวินิจฉัยที่ถูกต้องจึงสำคัญต่อการวางแผนรักษาที่เหมาะสมที่สุด โดยวิธีการตรวจวินิจฉัยมีดังนี้

การตรวจวินิจฉัยโรคผมร่วงแบบ FFA
  1. การตรวจทางคลินิก

แพทย์จะเริ่มต้นด้วยการตรวจร่างกายและสอบถามประวัติสุขภาพของผู้ป่วยก่อนค่ะ เช่น อาการที่พบ ระยะเวลาที่เริ่มผมร่วง และประวัติการเจ็บป่วยหรือการใช้ยา เพื่อประเมินว่ามีความผิดปกติที่เกี่ยวข้องกับโรคผมร่วงแบบ FFA หรือไม่

  1. การตรวจด้วยกล้องจุลทรรศน์

แพทย์ผิวหนังจะใช้กล้องขยายเพื่อส่องดูหนังศีรษะอย่างละเอียด วิธีนี้จะช่วยให้เห็นรูขุมขนที่เกิดการอักเสบหรือเส้นผมที่มีลักษณะผิดปกติ เช่น รูขุมขนที่ถูกทำลาย เส้นผมบาง หรือการเปลี่ยนแปลงที่แนวผม

  1. การตัดชิ้นเนื้อ

ในกรณีที่ต้องการยืนยันผลการวินิจฉัย แพทย์อาจตัดชิ้นเนื้อจากหนังศีรษะเพื่อนำไปตรวจทางพยาธิวิทยาค่ะ การตรวจนี้จะสามารถระบุได้ชัดเจนว่ามีการอักเสบในรูขุมขนหรือเซลล์รูขุมขนถูกทำลาย ซึ่งเป็นลักษณะสำคัญของโรค FFA

  1. การตรวจเลือด

แพทย์อาจตรวจเลือดเพิ่มเติมเพื่อประเมินความผิดปกติของฮอร์โมนหรือระบบภูมิคุ้มกัน เช่น ตรวจระดับฮอร์โมนไทรอยด์หรือภูมิคุ้มกันในร่างกาย เพื่อค้นหาปัจจัยที่อาจเกี่ยวข้องกับการเกิดโรค

ปัจจุบันโรคผมร่วงแบบ Frontal Fibrosing Alopecia (FFA) จะยังไม่มีวิธีรักษาที่ทำให้หายขาดนะคะ แต่สามารถบรรเทาอาการและชะลอการลุกลามได้ค่ะ ซึ่งการรักษาก็จะแตกต่างกันไปตามความรุนแรงของอาการและความเหมาะสมของผู้ป่วย โดยมีวิธีการรักษาดังนี้

การรักษาด้วยยา

เน้นลดการอักเสบ ควบคุมระบบภูมิคุ้มกัน และกระตุ้นการเจริญเติบโตของเส้นผม เพื่อชะลอการลุกลามของโรคค่ะ 

  • การรักษาด้วยยาสเตียรอยด์ แบบทาหรือฉีดเฉพาะที่ เพื่อลดการอักเสบของรูขุมขน
  • ใช้ยากดภูมิคุ้มกัน เช่น Methotrexate หรือ Hydroxychloroquine ช่วยลดการทำงานเกินของระบบภูมิคุ้มกัน
  • ใช้ยาต้านแอนโดรเจน เช่น Spironolactone เพื่อปรับสมดุลฮอร์โมน
การรักษา Frontal Fibrosing Alopecia ด้วยยา

การรักษาเสริมควบคู่ไปกับการใช้ยา

นอกจากการใช้ยา การรักษาเสริมอย่างการฉีดพลาสม่าที่มีเกล็ดเลือดเข้มข้น (Platelet-Rich Plasma; PRP) หรือการใช้เลเซอร์พลังงานต่ำก็เป็นอีกทางเลือกหนึ่งที่ช่วยกระตุ้นการฟื้นฟูรูขุมขนและชะลอการลุกลามของโรคได้ค่ะ

  • ฉีด PRP (Platelet-Rich Plasma) จะช่วยกระตุ้นการฟื้นฟูรูขุมขนด้วยพลาสม่าที่มีเกล็ดเลือดเข้มข้น
  • ใช้เลเซอร์พลังงานต่ำ (Low-level laser therapy; LLLT) ช่วยเพิ่มการไหลเวียนโลหิตบนหนังศีรษะ
  • ปลูกผม เหมาะสำหรับผู้ที่สูญเสียเส้นผมรุนแรง แต่ต้องเป็นคนที่โรคไม่กำเริบ สามารถควบคุมโรคไม่ให้ลุกลามเพิ่มขึ้นมาได้สักระยะหนึ่งแล้ว
FFA 03
FFA 04 (1)

การรักษาโรคผมร่วงแบบ FFA เน้นไปที่การลดการอักเสบ ชะลอการลุกลาม และฟื้นฟูเส้นผมที่เหลืออยู่ค่ะ มักต้องใช้การรักษาร่วมกันหลายวิธี แม้จะยังไม่มีวิธีรักษาที่ทำให้หายขาด แต่ด้วยเทคโนโลยีทางการแพทย์ในปัจจุบัน ผู้ป่วยสามารถรับการรักษาที่ช่วยชะลออาการและฟื้นฟูความมั่นใจได้ค่ะ

การดูแลตัวเองอย่างเหมาะสมสามารถช่วยชะลอการลุกลามของโรคและเสริมสร้างความมั่นใจให้ผู้ป่วยได้ค่ะ ผู้ป่วยสามารถปฏิบัติตามคำแนะนำจากแพทย์ดังนี้นะคะ

  • หลีกเลี่ยงแชมพูที่มีสารเคมีรุนแรง เช่น ซัลเฟต เลือกใช้ผลิตภัณฑ์สูตรอ่อนโยน และปกป้องหนังศีรษะจากแสงแดดด้วยหมวกหรือครีมกันแดดสำหรับหนังศีรษะ
  • รับประทานอาหารที่มีโปรตีน ธาตุเหล็ก และวิตามิน เช่น เนื้อปลา ผักใบเขียว และธัญพืช เพื่อเสริมสุขภาพผมและหนังศีรษะ
  • ใช้วิกผม หมวกแฟชั่น หรือสเปรย์ปิดผมบางเพื่อเพิ่มความมั่นใจ รวมถึงเลือกทรงผมที่ช่วยปกปิดแนวผมที่บาง
  • พบแพทย์ตามนัดอย่างสม่ำเสมอเพื่อประเมินอาการ และปรึกษาแพทย์หากมีปัญหาผมร่วงเพิ่มขึ้น

การดูแลตัวเองด้วยวิธีที่เหมาะสมควบคู่ไปกับการทำตามคำแนะนำจากแพทย์ จะช่วยจัดการโรค FFA ได้อย่างมั่นใจค่ะ

โรคผมร่วงแบบ Frontal Fibrosing Alopecia (FFA) มักมีการดำเนินโรคที่ค่อยเป็นค่อยไป โดยเส้นผมจะบางลงและถอยร่นอย่างช้าๆ ค่ะ แต่ผลกระทบต่อผู้ป่วยอาจรุนแรงในด้านจิตใจและอารมณ์ โดยเฉพาะในเรื่องความมั่นใจในรูปลักษณ์ของตัวเอง ผู้ป่วยบางรายอาจรู้สึกวิตกกังวลหรือเครียดจากการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจนำไปสู่ปัญหาด้านสุขภาพจิตในระยะยาวได้

ดังนั้นการดูแลตัวเองอย่างเหมาะสม ควบคู่ไปกับการรักษาที่ถูกต้อง จะช่วยให้คนไข้รับมือกับโรคได้ดีขึ้น และสามารถรักษาคุณภาพชีวิตที่ดีไว้ได้ค่ะ

อ้างอิงข้อมูลจาก:

Brandi N, Starace M, et al. (2017). “The doll hairline: A clue for the diagnosis of frontal fibrosing alopecia.” J Am Acad Dermatol.

แชร์บทความนี้

บทความที่เกี่ยวข้อง

ผมเสีย เกิดจากอะไร เจาะลึกสาเหตุและเคล็ดลับฟื้นฟูผมเสีย
Prima Tossaborvorn

ผมเสียเกิดจากอะไร เจาะลึกสาเหตุและเคล็ดลับฟื้นฟูผมเสีย

ผมเสีย หรือผมแห้งเสีย แม้ว่าจะเป็นปัญหาเล็กๆ แต่ก็มักจะส่งผลต่อความมั่นใจอยู่เสมอเลยล่ะค่ะ ยิ่งคนที่มีปัญหาผมเสียมากหรือมีปัญหาผมแห้งเสียอย่างเห็นได้ชัด ยิ่งทำให้การจัดแต่งทรงเป็นเรื่องยากจนกลายเป็นคนที่มีข้อจำกัดของการเลือกทรงผมได้ วันนี้หมออยากชวนทุกคนมาทำความรู้จักกับปัญหาผมเสีย และวิธีแก้ผมเสียที่สามารถทำได้ด้วยตัวเองจากที่บ้านกันค่ะ

สิวที่หัว เกิดจากอะไร
Prima Tossaborvorn

สิวที่หัว เกิดจากอะไร สาเหตุ วิธีป้องกัน และการรักษาให้ได้ผล

สิวที่หัว อาจฟังดูเป็นเรื่องเล็กๆ แต่ถ้าใครเคยเจอก็คงอดหงุดหงิดไม่ได้ใช่ไหมล่ะคะ เพราะทั้งคัน ทั้งเจ็บ และทำให้ไม่สบายตัวได้ไม่น้อยเลย ซึ่งสาเหตุของสิวบนหนังศีรษะไม่ได้เกิดจากความสกปรกอย่างเดียวแบบที่หลายๆ คนเข้าใจ แต่ยังมีปัจจัยอื่นๆ เช่น การอุดตันของรูขุมขน ฮอร์โมน หรือการใช้ผลิตภัณฑ์ที่ไม่เหมาะสม วันนี้หมอจะพามาเจาะลึกถึง สาเหตุ วิธีป้องกัน และการรักษาสิวที่หัว เพื่อช่วยให้คุณดูแลหนังศีรษะได้อย่างมั่นใจค่ะ

โรคดีแอลอีที่หนังศีรษะ
Prima Tossaborvorn

รู้จักกับ โรคดีแอลอีที่หนังศีรษะ (Discoid Lupus Erythematosus)

วันนี้หมออยากมาเล่าให้ฟังเกี่ยวกับ โรคดีแอลอีที่หนังศีรษะ (Discoid Lupus Erythematosus) ค่ะ โรคนี้เป็นหนึ่งในกลุ่ม โรคลูปัส (Lupus) หรือโรคแพ้ภูมิตัวเอง ที่ส่งผลกระทบต่อผิวหนัง โดยเฉพาะบริเวณหนังศีรษะ ทำให้เกิด ผิวหนังอักเสบ (Dermatitis) และ ผมร่วงแบบมีแผลเป็น (Scarring alopecia) ที่อาจทำให้เส้นผมไม่สามารถงอกขึ้นใหม่ได้