ไม่ว่าใครก็อยากจะมีภาพลักษณ์ที่ดูดีกันทั้งนั้น นั่นก็เพราะภาพลักษณ์ถือเป็นปัจจัยหนึ่งที่ช่วยเสริมสร้างความมั่นใจให้กับตัวเรา โดยเฉพาะในเรื่องเส้นผม นอกจากปัญหาผมร่วงผมบางจนเกิดปัญหาเถิกร่นด้านหน้าแล้ว ก็ยังมีเรื่องของการที่มีหน้าผากกว้างโดยกำเนิด หรือที่เรียกกันว่า “หัวเถิก” นั่นเอง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำให้หลายคนหมดความมั่นใจไปเลยก็มี ปัจจุบันวิธีแก้ไขปัญหาหน้าผากกว้างที่ได้รับความนิยมนั้นมีอยู่ 2 แบบ ได้แก่ การปลูกผมและการผ่าตัดลดขนาดหน้าผาก ซึ่งทั้ง 2 วิธีนี้จะแตกต่างกันอย่างไร มาลองดูกันนะคะ
ปลูกผมคืออะไร
การปลูกผม คือการย้ายเอารากผมจากบริเวณหนึ่ง (Donor area) ไปยังอีกบริเวณหนึ่ง (Recipient area) โดยส่วนมากบริเวณ Donor area มักจะเป็นเส้นผมจากพื้นที่ด้านหลังศีรษะที่ไม่ได้รับผลกระทบจากฮอร์โมน DHT ซึ่งเป็นฮอร์โมนตัวการของปัญหาศีรษะล้านอันเนื่องมาจากกรรมพันธุ์ที่เคยได้เขียนเอาไว้ในบทความก่อนๆ โดยวิธีการปลูกผมในปัจจุบันจะมีอยู่ 2 วิธี ได้แก่
การปลูกผมแบบ FUT (FOLLICULAR UNIT TRANSPLANTATION)
การปลูกผมแบบ FUT คือการผ่าตัดเอาหนังศีรษะด้านหลังซึ่งมีรากผมที่แข็งแรงนำมาหั่นแบ่งเป็นกราฟท์ใต้กล้องจุลทรรศน์ แล้วนำมาปลูกในบริเวณที่ต้องการ โดยเทคนิคนี้เป็นเทคนิคแบบเก่า ที่จะทำให้มีรอยแผลเป็นด้านหลังความยาวประมาณ 15 – 30 เซนติเมตร เหมาะกับการปลูกผมที่ต้องการจำนวนกราฟท์มากๆ
การปลูกผมแบบ FUE (FOLLICULAR UNIT EXCISION)
การปลูกผมแบบ FUE เป็นวิธีการปลูกผมที่ทันสมัยขึ้นมา โดยใช้การย้ายกราฟท์ผมจาก Donor area เช่นกัน เพียงแต่จะไม่มีการผ่าตัดเอาหนังศีรษะออกมา เพราะจะใช้วิธีการเจาะกราฟท์ผมออกมาทีละกอ แล้วนำไปปลูกในบริเวณที่ต้องการ ข้อดีคือรอยเจาะย้ายกราฟท์มีขนาดเล็กมากจนมองแทบไม่ออก ทั้งยังเจ็บน้อยและแทบไม่ต้องใช้เวลาในการพักฟื้นเลยด้วยซ้ำ
ผ่าตัดลดขนาดหน้าผากคืออะไร
ผ่าตัดลดขนาดหหน้าผาก หรือ Hairline Lowering คือการผ่าตัดบริเวณใต้แนวไรผมแล้วดึงลงมาเพื่อลดขนาดความกว้างของหน้าผากลงประมาณ 2-3 เซนติเมตร (ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล) ทั้งยังช่วยปรับรูปร่างหน้าผากและโครงหน้าให้สมส่วนมากขึ้นได้ และใช้เวลาในการผ่าตัดน้อยเพียงประมาณ 1-2 ชั่วโมงเท่านั้น
ความแตกต่างของการปลูกผมและการผ่าตัดลดขนาดหน้าผาก
การผ่าตัดลดขนาดหน้าผากและการปลูกผม แม้ว่าจุดมุ่งหมายในการผ่าตัดจะเหมือนกันตรงที่สามารถทำให้พื้นที่เถิกร่นบริเวณหน้าผากมีขนาดเล็กลงได้ แต่ก็ยังมีข้อแตกต่างระหว่างการผ่าตัด 2 แบบนี้อยู่ ได้แก่
ข้อดีของการปลูกผม
- ไม่จำเป็นต้องพักฟื้นหลังทำ
- เส้นผมที่ปลูกไปจะอยู่ได้ถาวร
- การปลูกผมแบบ FUE แผลจากรอยปลูกผมจะมีขนาดเล็กเพียง 1 มิลลิเมตรและแผลสามารถหายได้ไว
- สามารถกำหนดแนวผมใหม่ที่ต้องการได้
ข้อดีของการผ่าตัดลดขนาดหน้าผาก
- ขนาดหน้าผากเล็กลงทันที
- ราคาถูกกว่าปลูกผม
- ใช้เวลาในการผ่าตัดน้อย
- สามารถปรับรูปร่างหน้าผากและโครงหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ลงได้
ข้อเสียของการปลูกผม
- มีราคาค่อนข้างสูงเมื่อเทียบกับการเสริมความงามแบบอื่นๆ
- ใช้เวลาในการทำหัตถการนาน (ขึ้นอยู่กับแต่ละเคส)
- ต้องมีจำนวนเส้นผมในบริเวณ Donor area มากพอที่จะแบ่งไปยังบริเวณที่ต้องการปลูก
ข้อเสียของการผ่าตัดลดขนาดหน้าผาก
- ใช้เวลาพักฟื้นนานพอสมควร
- เสี่ยงต่อการติดเชื้อมากกว่าเพราะเป็นแผลขนาดใหญ่
- มีโอกาสเลือดปริออกตามรอยเย็บ
- มักเกิดรอยแผลเป็นตามรอยต่อฝีเย็บ ซึ่งก็มีคนไข้หลายคนที่มักหาวิธีการต่างๆ ในการปิดบังรอยแผลเป็น เช่น การปลูกผมซ่อนรอยแผล การเลเซอร์ลดรอยแผลเป็น เป็นต้น ซึ่งอาจเป็นการเสียเงินและเจ็บตัวซ้ำซ้อนได้
ผ่าตัดลดขนาดหน้าผากเหมาะกับใคร
การผ่าตัดลดขนาดหน้าผากนั้นเหมาะกับผู้ที่มีขนาดหน้าผากกว้าง 5-6 เซนติเมตรขึ้นไปหรือผู้ที่มีปริมาณเส้นผมในพื้นที่ Donor area น้อยจนไม่สามารถย้ายมาปลูกได้อย่างเพียงพอ อีกทั้งยังเหมาะกับผู้ที่ต้องการปรับโครงหน้าให้ดูอ่อนเยาว์ ดูสมส่วนมากขึ้น
ผ่าตัดลดขนาดหน้าผากกับปลูกผม แบบไหนดีกว่า
ถ้าถามว่าแบบไหนดีกว่าอาจจะตอบได้ไม่ชัดนัก เพราะแต่ละวิธีก็ล้วนมีข้อดีและข้อเสียที่แตกต่างกันออกไป จึงมองได้ว่าหากใครชอบข้อดีหรือสามารถรับข้อเสียในวิธีไหนได้ ก็สามารถพิจารณาเลือกเอาตามเหมาะสม ความสะดวก และความสบายใจของตัวเองเป็นหลักก็จะเป็นเรื่องดีที่สุด แต่อีกหนึ่งสิ่งไม่ว่าจะเลือกทางไหน คือต้องศึกษาข้อมูลให้มากเพียงพอ รวมไปถึงต้องเลือกจากผลลัพธ์ในระยะยาวจากฝีมือของแพทย์แต่ละคนด้วย เพราะอาจกลายเป็นว่าต้องเจ็บตัวและเสียเงินซ้ำซ้อน
สรุป
การปลูกผมและการผ่าตัดลดขนาดหน้าผาก แม้จะมีข้อดีข้อเสียแตกต่างกันไป แต่จุดประสงค์ในการทำนั้นก็คือเพื่อลดความกว้างของหน้าผากลง ซึ่งหากใครที่ได้ศึกษาถึงข้อดีและข้อเสียอย่างละเอียดถี่ถ้วนแล้วสนใจจะปรับลดขนาดหน้าผากด้วยวิธีไหน ก็สามารถเลือกใช้บริการได้ทั้งสิ้น ทั้งนี้เมื่อตัดสินใจเลือกวิธีการที่เหมาะกับตัวเองแล้ว สิ่งสำคัญอีกประการหนึ่งที่ควรพิจารณาก็คือฝีมือของแพทย์และคุณภาพของคลินิกปลูกผมด้วย ทั้งนี้ก็เพื่อความปลอดภัยของตัวคนไข้เองเป็นหลักนั่นเองค่ะ