ทำความรู้จักกับ PRP Treatment รักษาผมบาง
เดี๋ยวนี้หลายๆ คลินิกเริ่มให้บริการทรีทเม้นต์ PRP กันเยอะแยะไปหมด ราคาก็มีตั้งแต่ 3,000 – 16,000 บาท/ครั้ง ตามแต่เครื่องและหลอดที่ใช้ ซึ่งทำให้ต้นทุนมีความแตกต่างกัน ปัจจุบัน PRP กลายเป็นหนึ่งในแนวทางยอดนิยมสำหรับรักษาปัญหาผมบาง ว่าแต่ PRP มันเหมาะกับคนไข้จริงๆ รึเปล่า วันนี้หมอจะมาเล่าให้ฟังค่ะ
PRP คืออะไร
PRP มันย่อมาจาก Platelet-Rich Plasma ซึ่งแปลว่าพลาสม่าที่มีเกล็ดเลือดเข้มข้นสูงซึ่งเราก็จะได้จากการเจาะเลือดคนไข้มาปั่นในเครื่อง Centrifuge เพื่อแยกชั้นจากนั้นจึงนำมาฉีดที่หนังศีรษะอีกทีซึ่งการที่จะได้ PRP คุณภาพดีนั้นจะขึ้นอยู่กับการเลือกใช้ Tube หรือหลอดที่ออกแบบเฉพาะเพื่อให้สามารถแยกชั้นได้ง่ายรวมทั้งเครื่อง Centrifuge ที่มีคุณภาพสูงเช่นกัน
PRP ทำงานอย่างไร
ถ้าให้พูดภาษาชาวบ้านคือก็เส้นผมจะได้รับสารอาหารมากขึ้นจากพลาสม่าที่มีเกล็ดเลือดเข้มข้นสูงซึ่งเราฉีดเข้าไปจึงทำให้เส้นผมกลับมาแข็งแรงเส้นไหนที่เคยลีบเล็กก็กลับมาหนาอ้วนใหญ่ดังเดิม
PRP ไม่ได้เหมาะกับทุกคน
ถ้าเข้าใจหลักการทำงานในข้อ 2 แล้วคนไข้จะเข้าใจว่า PRP นั้นจะได้ผลถ้ายังมีผมให้บำรุงดังนั้นแนวทางการรักษานี้จะเหมาะสำหรับคนไข้ที่มีปัญหาผมบางในระยะเริ่มต้นถึงปานกลางแต่ถ้ารุนแรงจนหัวล้านไปแล้วแนวทางรักษาด้วย PRP จะไม่ใช่คำตอบค่ะ
PRP มีประสิทธิภาพเทียบเท่ายารึเปล่า
ต้องเข้าใจก่อนว่ากลไกการทำงานของทั้งสองแนวทางรักษานี้แตกต่างกันยาที่เราทานเพื่อรักษาผมร่วงผมบางนั้นจะเข้าไปจัดการต้นเหตุปัญหาโดยตรงด้วยการลดระดับฮอร์โมน DHT ลงราวๆ 70% แต่การทำ PRP นั้นเป็นการบำรุงรากผมซึ่งเป็นการรักษาที่ปลายเหตุมากกว่าในแง่ของประสิทธิภาพของ PRP จึงไม่เทียบเท่ากับการทานยาอย่างไรก็ดี PRP จะกลายเป็นทางเลือกสำหรับคนไข้ที่ไม่สามารถทานยาได้ค่ะ
ต้องทำบ่อยแค่ไหน
อันที่จริงแล้วไม่มีกฏตายตัวสำหรับการทำ PRP หมอแต่ละท่านก็จะมีไกด์ไลน์แตกต่างกันไปแต่อย่างที่ Hairsmith Clinic หมอจะแนะนำให้ทุกเดือนละครั้งติดต่อกันสามเดือนหลังจากนั้นค่อยทำทุกๆ 3-6 เดือนค่ะ
นานแค่ไหนถึงจะเห็นผล
ในการรักษาปัญหาผมร่วงผมบางนั้นไม่มีวิธีไหนเลยที่เห็นผลในเวลาสั้นๆการใช้ยาก็ใช้เวลา 6-12 เดือนถึงจะเห็นผลอย่างมีนัยสำคัญการปลูกผมก็ใช้เวลา 12-18 เดือนถึงจะขึ้นเต็มที่การทำ PRP ก็เช่นกันคนไข้จะเริ่มเห็นผลอย่างชัดเจนหลัง 6 เดือนเป็นต้นไปค่ะ
สำหรับที่ Hairsmith Clinic เราใช้หลอด PRP แบบพิเศษซึ่งเป็นระบบปิดไม่มีการปนเปื้อน ทำให้ได้ PRP ที่มีความเข้มข้น 12-17 เท่า โดยปั่นแค่ 1 ครั้ง ใช้เวลาในการปั่นเพียง 5-10 นาที ทำให้ประหยัดเวลากว่าหลอดทั่วไปซึ่งต้องปั่น 2-3 ครั้ง เลยค่ะ
ข้อมูลอัดแน่นขนาดนี้ สมองบวมกันรึยังคะ (ฮา) หวังว่าคนไข้จะพอเข้าใจทรีทเม้นต์ PRP มากขึ้นแล้ว อย่างไรก็ดี หมอยังแนะนำให้แวะปรึกษาเพื่อฟังความเห็นของแพทย์เฉพาะทางก่อนตัดสินใจนะคะ จะได้มั่นใจว่ามันเหมาะกับเราจริงๆ แล้วพบกันใหม่ค่ะ