การรักษาผมร่วงผมบางนอกจากการทานยาแล้ว การทำ Stem Cell หรือ PRP ก็เป็นอีกหนึ่งทางเลือกที่ดี แต่เคยสงสัยกันมั้ยคะว่าทั้งสองอย่างนี้มีข้อดีข้อเสียอย่างไร แล้วจะเลือกทำอะไรดีมาหาคำตอบกัน
Stem Cell คืออะไร
Stem cell คือเซลล์ต้นกำเนิด ที่สามารถแบ่งตัวได้แบบไม่จำกัดและสามารถเปลี่ยนไปเป็นเซลล์ได้เกือบทุกชนิดในร่างกาย เช่น เซลล์ผิวหนัง เซลล์กล้ามเนื้อหัวใจ เซลล์กระดูก เป็นต้น การฉีด Stem cell ผมคือการนำ cell จากรากผมมาสกัดเอาส่วนที่เป็นโปรตีนและ growth factor ออกมาแล้วฉีดกลับลงหนังศีรษะเพื่อให้เซลล์เหล่านี้มากระตุ้นรากผมให้ผลิตเส้นผมที่แข็งแรงขึ้น
ข้อดีและข้อเสียของการทำ Stem Cell
- ข้อดีของ Stem Cell คือไม่ต้องทำบ่อย ปีละครั้งถึงสองครั้ง
- ข้อเสียของ Stem Cell คือมีราคาที่สูงกว่าชนิดที่ว่าเอาเงินไปปลูกผมได้เลย และต้องทำอย่างต่อเนื่อง
PRP คืออะไร
PRP หรือ Platelet Rich Plasma เป็นการใช้เลือดของคนไข้มาปั่นสกัดเอาส่วนที่เป็นเกล็ดเลือดเข้มข้นที่มีโปรตีนและ growth factor ต่างๆ มาฉีดที่หนังศีรษะเพื่อกระตุ้นให้ผมแข็งแรงขึ้น ชะลอหลุดร่วง เป็นเหมือนอาหารเสริมให้เส้นผมของเรา
ข้อดีและข้อเสียของการทำ PRP
- ข้อดี PRP ช่วยให้รากผมแข็งแรงขึ้นและมีค่าใช้จ่ายที่ไม่สูงมาก เหมาะกับผู้ที่มีปัญหาผมในระดับเริ่มต้นและไม่อยากทานยาปลูกผม
- ข้อเสีย ต้องทำเป็นประจำอย่างต่อเนื่องปีละ 5-6 ครั้ง
ศึกษาเพิ่มเกี่ยวกับ PRP 6 ข้อเท็จจริงที่ควรรู้ก่อนตัดสินใจทำ PRP
Stem Cell กับ PRP แบบไหนดีกว่ากัน
หากมองจากผลลัพธ์หลังการทำ Stem Cell กับ PRP ที่ทำให้มีผมหนามากขึ้นทั้งคู่ ปัจจุบันยังไม่มีงานวิจัยไหนหรือใครเอามาเทียบตรงๆ ว่าอันไหนดีกว่ากัน แม้แต่ในการประชุมสมาคมศัลยกรรมปลูกผมนานาชาติก็ไม่ได้เอามาเทียบกัน คลินิกที่ทำ stem cell ก็จะบอกว่า Stem Cell ดีกว่าเพราะมีราคาค่อนข้างสูง ส่วนคลินิกที่ทำ prp ก็จะเชียร์ prp แล้วคลินิกที่ทำทั้งคู่ก็จะเชียร์ stem cell เพราะแพงกว่านั่นเอง แต่ความจริงแล้วผลลัพธ์ไม่ได้ต่างกันมาก ขึ้นอยู่กับว่า Stem Cell ของใครมีคุณภาพ หรือกระบวนการและอุปกรณ์ที่ใช้ในการทำ PRP ของใครมีคุณภาพมากกว่า
แต่ไม่ว่าจะเลือกรักษาด้วยวิธีไหน การสังเกตปัญหาเส้นผมของตัวเองแต่เนิ่นๆ เป็นสิ่งที่สำคัญ เพราะหากปล่อยให้ปัญหาบานปลายอาจถึงขั้นหัวล้านจนสายเกินแก้ค่ะ