ในปัจจุบันเทคนิคที่นิยมใช้ ปลูกผม หรือปลูกผมถาวรจะมีกันอยู่สองแบบ นั่นก็คือวิธี FUE และ FUT โดยทั้งสองแบบจะมีจุดประสงค์เพื่อย้ายรากผมจากบริเวณเหนือกกหูและด้านหลังศีรษะ (Donor Area) มาปลูกในบริเวณที่ผมบางแทน ซึ่งภายในเวลา 12-18 เดือนเส้นผมก็จะงอกขึ้นใหม่เต็มที่และเป็นธรรมชาติโดยไม่ร่วงอีก เพราะรากผมจากเหนือกกหูและด้านหลังศีรษะนั้นมีความแข็งแรงและไม่ได้ถูกฮอร์โมนที่ชื่อว่า DHT ทำร้าย เพราะเจ้า DHT นี่แหละคือตัวการที่ทำให้ผมร่วง
ปลูกผม FUE กับ FUT แตกต่างกันยังไง
อันที่จริงแล้ว การปลูกผมถาวรทั้งสองเทคนิคนี้ให้ผลลัพธ์ที่เหมือนกัน แต่จะแตกต่างกันตรงวิธีที่จะนำรากผมออกมาจากบริเวณเหนือกกหู หรือด้านหลังศีรษะ (Donor Area) ขั้นตอนนี้เราจะเรียกว่า Donor Harvesting ซึ่งวิธีการที่แตกต่างกันนี้จะส่งผลให้แผลผ่าตัด การดูแลแผล การพักฟื้นมีลักษณะที่แตกต่างกัน แต่ขอย้ำอีกครั้งว่าผลลัพธ์ไม่แตกต่างกัน ทีนี้เรามาดูกันดีกว่าแต่ละเทคนิคแตกต่างกันยังไงบ้าง
ปลูกผมเทคนิค FUE (Follicular Unit Excision)

1.) แพทย์จะใช้หัวเจาะแบบไฮบริดของ WAW FUE SYSTEM ที่ออกแบบโดย Dr. Jean Devroye ซึ่งมีขนาดเล็กกว่า 1 มม. เพื่อเจาะเอารากผมออกมาจากบริเวณ Donor Area

2.) รากผมที่เจาะออกมาจะถูกคัดแยกและจัดกลุ่มให้เหมาะสม แล้วนำไปเก็บไว้ในน้ำยา HypoThermosol ซึ่งถือว่าเป็นน้ำยาที่ดีที่สุดในโลกที่ออกแบบมาเพื่อการปลูกผมโดยเฉพาะ

3.) แพทย์จะเติม ATP ซึ่งเป็นสารให้พลังงานแก่เซลล์เข้าไปด้วย ขั้นตอนนี้เปรียบเสมือนการเพิ่มสารอาหารให้กับเส้นผม เพื่อยกระดับให้ผลลัพธ์จากการปลูกผมดียิ่งขึ้นไปอีก

4.) นำรากผมที่เจาะออกมาไปปลูกในบริเวณที่ต้องการ ขั้นตอนนี้เราจะใช้ Implanter Pen หรือที่เรียกว่าเทคนิค DHI แทนการใช้คีมเล็กๆ แบบดั้งเดิม เพื่อลดโอกาสสร้างความเสียหายให้กับรากผม
ข้อดีของเทคนิค FUE
ด้วยประสบการณ์ของแพทย์อเมริกันบอร์ดศัลยกรรมปลูกผมอย่าง พญ. พรีมา ทศบวร ผนวกกับหนึ่งในหัวเจาะไฮบริดที่ดีที่สุดในโลกอย่าง WAW FUE SYSTEM จากประเทศเบลเยี่ยม แผลที่เกิดขึ้นบริเวณด้านหลังศีรษะจึงมีขนาดเล็กกว่า 1 มม. เมื่อคนไข้ไว้ผมยาวกว่า 3 มม. ก็ทำให้มองไม่เห็นแผลเป็นเหล่านั้น ข้อดีของการปลูกผมด้วยเทคนิค FUE คือจะไม่มีรอยแผลเป็นแนวยาว 15-30 ซม. ซึ่งจะพบได้ในการปลูกผมด้วยเทคนิค FUT

วิดีโอปลูกผมเทคนิค FUE
ปลูกผมเทคนิค FUT (Follicular Unit Hair Transplant)
ปลูกผม FUT จะแตกต่างจาก ปลูกผม FUE แค่อย่างเดียวนั่นก็คือขั้นตอนการนำผมออกจากด้านหลังศีรษะ ราคาปลูกผมก็เท่ากัน เทคนิคปลูกผมแบบนี้จะเป็นการผ่าเอาหนังศีรษะออกมาทั้งชิ้น แล้วจึงนำมาแบ่งเป็นกราฟท์ใต้กล้องจุลทรรศน์ ส่วนขั้นตอนที่เหลือนั้นจะเหมือนกับปลูกผมเทคนิค FUE ทั้งหมด
ข้อดีของการปลูกผมเทคนิค FUT
ปลูกผมด้วยเทคนิค FUT จะช่วยให้แพทย์สามารถนำรากผมออกจากบริเวณด้านหลังศีรษะได้จำนวนมากภายในเวลาที่สั้นกว่าโดยที่ผมบริเวณด้านหลังศีรษะนี้จะไม่บางลง ที่สำคัญคนไข้ไม่จำเป็นต้องโกนศีรษะก่อนผ่าตัดอีกด้วย ปลูกผมด้วยเทคนิคนี้จะเหมาะกับคนไข้ที่ต้องใช้จำนวนกราฟท์จำนวนมาก หรือมีแนวโน้มที่จะต้องปลูกซ้ำหลายรอบ อย่างไรก็ดี ข้อเสียของการปลูกผมด้วยเทคนิค FUT ก็คือจะมีแผลเป็นยาว 15-30 ซม. ที่ด้านหลัง คนไข้จึงควรไว้ผมยาวประมาณ 2-3 ซม. เพื่อปิดแผลเป็นให้มองไม่เห็น

ผลลัพธ์ปลูกผม FUE และ FUT
ผลลัพธ์จากวิธีปลูกผมทั้งสองเทคนิคนั้นไม่แตกต่างกัน โดยหลังจากปลูกผมไปแล้วสองสัปดาห์ ผมที่ปลูกจะหลุดร่วงไปก่อนเกือบหมด จากนั้นผมจะค่อยๆ ขึ้นในเดือนที่สี่ และขึ้นเต็มที่ในเดือนที่ 12-18 ผมที่ปลูกนี้คือผมธรรมชาติ คนไข้สามารถตัดสั้น ย้อม หรือดัดผมได้ตามปกติ
อย่างไรก็ดี ควรทราบว่าการดูรูปผลลัพธ์หลังปลูกทันทีนั้น “ไม่ได้บ่งบอกหรือรับประกัน” ว่าผมที่ปลูกจะขึ้น หรือผลลัพธ์จะออกมาดี คนไข้ควรพิจารณาผลลัพธ์จากรูปหลังปลูกผมไปแล้ว 6-12 เดือนมากกว่า





ปลูกผมถาวรเทคนิคไหนดี
จากข้อมูลที่อธิบายมาข้างต้น จะเห็นได้ว่าแต่ละเทคนิคจะมีข้อดีและข้อด้อยของตัวเองแตกต่างกันไป ไม่มีสูตรสำเร็จว่าเทคนิคไหน “ดีที่สุด” แต่ขึ้นอยู่กับความเหมาะสมกับคนไข้แต่ละคนมากกว่า คุณควรนัดปรึกษาแพทย์ในคลินิกปลูกผมที่มีประสบการณ์เพื่อขอรับคำแนะนำเพิ่มเติม
แพทย์ศัลยกรรมปลูกผมที่ดี จะไม่แนะนำแต่เทคนิคที่ตัวเองถนัด หากแต่จะแนะนำเทคนิคที่เหมาะสมที่สุดให้กับคนไข้ และให้ข้อมูลที่ถูกต้องโดยเห็นแก่ประโยชน์ของคนไข้เป็นหลัก
พัฒนาการหลังปลูกผมเป็นอย่างไร

-
2 สัปดาห์หลังปลูกผม
เป็นระยะที่รากผมฝังตัวเรียบร้อยแล้ว แผลตรงบริเวณที่ปลูกผมจะเริ่มตกสะเก็ด ในช่วงนี้ผมที่ปลูกจะหลุดร่วงออกไปก่อนซึ่งเป็นเรื่องปกติ และแผลเจาะด้านหลังศีรษะหายดีเป็นที่เรียบร้อยแล้ว
-
3 เดือนหลังปลูกผม
ผมที่ปลูกจะเริ่มขึ้นเป็นไรผมเส้นบางๆ ประมาณ 10-15% ทำให้ยังไม่เห็นแนวไรผมที่ชัดเจนในระยะ 3 เดือนแรกนี้
-
6 เดือนหลังปลูกผม
ผมเส้นหนาขึ้น เราจะเริ่มเห็นแนวไรผมได้อย่างชัดเจน ผลลัพธ์ของผมที่ปลูกนั้นจะขึ้นมา 40-50% และขึ้นแบบทั่วๆ ของบริเวณที่ปลูกผม
-
12-18 เดือนหลังปลูกผม
เป็นระยะที่เห็นผลลัพธ์สุดท้ายของการปลูกผม ได้แนวผมใหม่ที่ชัดเจน ผมเส้นหนาอย่างเป็นธรรมชาติ
การเตรียมตัวก่อนปลูกผม
ด้วยความที่ศัลยกรรมปลูกผมเป็นการผ่าตัดเล็ก ขั้นตอนการเตรียมตัวก่อนและหลังปลูกผมเลยไม่ได้ยุ่งยาก เพียงแค่งดพวกวิตามินต่างๆ สัก 1-2 สัปดาห์ หากใครที่ทานยา Minoxidil อยู่ก็ให้หยุดทานก่อน ในวันที่ปลูกผม ก็ให้งดทานชา กาแฟด้วย เพราะวิตามิน ยา และเครื่องดื่มเหล่านี้ อาจทำให้เลือดหยุดไหลช้าลง ส่งผลให้การผ่าตัดอาจใช้เวลานานขึ้น ระยะเวลาที่รากผมอยู่นอกร่างกายก็จะนานขึ้น อาจทำให้อัตราการรอดของกราฟท์ลดลง ที่สำคัญผู้เข้ารับการปลูกผมจะเมื่อยนานขึ้น
ในวันที่ปลูกผม อย่าลืมใส่เสื้อเสื้อติดกระดุมแทนเสื้อยืด เมื่อกลับบ้านจะสามารถถอดเสื้อได้ง่ายกว่า ไม่ไปโดนบริเวณที่เพิ่งปลูกผม มิฉะนั้นกราฟท์ที่เพิ่งปลูกอาจจะหลุดและไม่ขึ้นตามที่ควรจะเป็น
การดูแลตัวเองหลังปลูกผม
หลังปลูกผมถาวรไปแล้วก็ดูแลไม่ยาก ต้องเข้าใจก่อนว่าแผลจากการปลูกผมจะใช้เวลา 2-4 วันกว่าที่จะแห้งสนิท ในช่วงนี้เวลาอาจต้องระวังสักหน่อย เพราะกราฟท์ยังมีโอกาสหลุดง่ายอยู่ ควรระวังไม่แคะ แกะ หรือเกาบริเวณที่เพิ่งปลูกผมไป งดออกกำลังกายประมาณ 2 สัปดาห์ งดว่ายน้ำและซาวน่า 4 สัปดาห์ หลีกเลี่ยงการตากแดดโดยตรงเป็นเวลานานจนผิวไหม้ หากต้องอยู่กลางแจ้งนานๆ ควรสวมหมวกเพื่อเป็นการป้องกันผมที่เพิ่งปลูกไป
และสามารถสระผมได้ทุกวัน แต่ควรเป็นไปตามคำแนะนำของเจ้าหน้าที่คลินิก ตลอดจนใช้แชมพูสูตรอ่อนโยนในช่วง 2 สัปดาห์แรก เพื่อพ้นระยะเวลาดังกล่าวแล้ว ก็สามารถสระผมได้ตามปกติ รวมทั้งใช้ชีวิตได้ตามปกติโดยไม่ต้องระวังอะไรมากแล้ว รวมถึงการใช้เซรั่มบำรุงหนังศีรษะต่างๆ ก็สามารถใช้ได้หลังจากปลูกผม 2 สัปดาห์เช่นกัน
ภาวะแทรกซ้อนหลังปลูกผม
การปลูกผมจะมีผลข้างเคียงเล็กน้อยมาก ซึ่งไม่ได้เป็นที่น่ากังวล ที่พบได้ทั่วไปก็มักจะเป็นอาการบวม อาการปวดเล็กน้อย รอยแดง ภาวะผมร่วงชั่วคราว (Shock Loss) หรือเส้นผมเปลี่ยนสี เป็นต้น อย่างไรก็ดี ภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้เป็นเรื่องชั่วคราวและสามารถหายได้เองเมื่อเวลาผ่านไประยะหนึ่ง
ทั้งนี้ทั้งนั้น การเลือกคลินิกปลูกผมที่มีมาตรฐานจะลดโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนเหล่านี้ได้ ในทางตรงกันข้าม หากเลือกผู้ให้บริการที่ไม่มีมาตรฐานหรือไม่มีประสบการณ์ ภาวะแทรกซ้อนที่ร้ายแรงก็สามารถเกิดขึ้นได้เช่นกัน อย่างเลวร้ายที่สุดคือติดเชื้อรุนแรงจนเสียชีวิต ซึ่งเคยเกิดขึ้นแล้วที่ประเทศอินเดีย จะเห็นได้ว่าการเลือกคลินิกปลูกผมที่ดีจึงสำคัญมาก
ผลลัพธ์การปลูกผมเพิ่มเติม



คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการปลูกผม
-
กราฟท์คืออะไร
กราฟท์คือกอผม ซึ่งในหนึ่งกราฟท์นั้นอาจจะมีผม 1, 2, 3 หรือ 4 เส้นก็ได้ แต่โดยธรรมชาติแล้วร้อยละ 50 ของกราฟท์จะมี 2 เส้นค่ะ
-
ปลูกผมราคาเท่าไหร่
ราคาจะอยู่ที่ 75-140 บาทต่อกราฟท์ โดยมีรายละเอียดดังนี้ค่ะ
- ไม่เกิน 1,000 กราฟท์ กราฟท์ละ 90 บาท
- เกิน 1,000 กราฟท์ กราฟท์ละ 75 บาท
- เทคนิค FUE แบบไม่โกนผม กราฟท์ละ 140 บาท
-
ปลูกผมเจ็บมั้ย
สำหรับเทคนิค FUE นั้น คนไข้จะเจ็บที่สุดตอนฉีดยาชา แต่พอหลังยาชาออกฤทธิ์แล้ว ไม่ว่าจะระหว่างผ่าตัดหรือหลังผ่าตัด คนไข้ก็จะไม่รู้สึกเจ็บค่ะ ส่วนเทคนิค FUT จะมีอาการปวดหลังผ่าตัดที่มากกว่าและนานกว่า อาจใช้เวลาหลายวันหน่อยกว่าที่จะหายปวดค่ะ
-
ใช้เส้นผมจริงหรือเส้นผมสังเคราะห์
ศัลยกรรมปลูกผมคือการย้ายรากผมของคนไข้เองจากบริเวณท้ายทอยหรือเหนือกกหูมาปลูกในบริเวณที่ต้องการ ดังนั้นผมที่นำมาปลูกนั้นคือผมจริงที่สามารถยาวได้เหมือนธรรมชาติค่ะ
-
ต้องโกนผมมั้ย
โกนเฉพาะบริเวณท้ายทอยสำหรับเจาะเอากราฟท์ออกมาเท่านั้นค่ะ พื้นที่ที่ต้องโกนจะมีขนาดเท่าหนึ่งฝ่ามือค่ะ แต่หากคนไข้เลือกปลูกผมแบบ Non Shaven จะไม่โกนผมค่ะ
-
ปลูกผมต้องพักฟื้นนานมั้ย
ไม่นานค่ะ เพราะศัลยกรรมปลูกผมถือว่าเป็นผ่าตัดเล็ก สำหรับเทคนิค FUE นั้นแผลจะมีขนาดเล็กกว่า 1 มม. ไม่เกิน 3 วันก็หายสนิทแล้ว คนไข้สามารถไปทำงานวันถัดไปได้เลย ในขณะที่เทคนิค FUT นั้นจะต้องมีการนัดให้คนไข้กลับมาตัดไหมในอีก 10 วันหลังผ่าตัดค่ะ
-
ปลูกผมเห็นผลเมื่อไหร่
ศัลยกรรมปลูกผมถือว่าเป็นโปรเจ็กต์ระยะ 12 เดือนค่ะ ผมที่ปลูกไปนั้นจะร่วงไปก่อนในช่วงสัปดาห์ที่ 3 จากนั้นจะค่อยๆ เริ่มขึ้นประมาณ 10-30% ในเดือนที่ 3 ก่อนที่จะขึ้นอย่างเต็มที่ในเดือนที่ 12 หรือ 1 ปีเต็มนั่นเอง
-
มีโอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนมั้ย
การปลูกผมถือว่าเป็นการผ่าตัดเล็ก โอกาสเกิดภาวะแทรกซ้อนน้อยมากค่ะ อาจจะเป็นไปได้ที่คนไข้จะมีอาการแดง หรือเกิดสิวในบริเวณที่ปลูกและท้ายทอย หรือเกิดอาการบวมบริเวณหน้าผากจนถึงตา แต่เมื่อเวลาผ่านไปไม่นาน อาการเหล่านี้ก็จะดีขึ้นและหายเป็นปกติค่ะ
-
มีโอกาสที่ผมจะขึ้นกี่เปอร์เซ็นต์
ที่ HAIRSMITH CLINIC เราคาดหวังว่าเส้นผมของคุณควรจะขึ้นมากกว่า 95% ค่ะ
ปลูกผมกับผู้เชี่ยวชาญตัวจริง
เพราะผมที่ใช้ปลูกเป็นทรัพยากรที่มีอยู่จำกัด หมดแล้วหมดเลย ดังนั้นหากเลือกผู้ให้บริการที่ไม่มีประสบการณ์ ผมที่ปลูกอาจไม่ขึ้น เท่ากับเสียผมที่ปลูกไปฟรีๆ การปลูกผมกับผู้เชี่ยวชาญจึงเป็นเรื่องที่ควรพิจารณาเป็นพิเศษ อย่างไรก็ดี ที่ Hairsmith Clinic เรามี พญ. พรีมา ทศบวร ดีกรีเป็นแพทย์อเมริกันบอร์ดศัลยกรรมปลูกผม (ABHRS) ตั้งแต่ปี 2014 [ตรวจสอบแพทย์อเมริกันบอร์ดศัลยกรรมปลูกผมได้ที่นี่]
สำเร็จการศึกษาปริญญาโทด้านผิวหนังจาก Cardiff University สหราชอาณาจักร และเป็นสมาชิกของสมาคมศัลยกรรมปลูกผมนานาชาติ (ISHRS) พร้อมประสบการณ์ด้านศัลยกรรมปลูกผมกว่า 8 ปี ตลอดจนเข้าร่วมเวิร์กช็อปและการประชุมของ ISHRS อย่างต่อเนื่อง ไม่ว่าจะเป็นที่ประเทศมาเลเซีย สหรัฐอเมริกา สาธารณรัฐเช็ก เกาหลีใต้ สเปน
กับผลงานคนไข้ที่ปลูกผมประสบความสำเร็จแล้วกว่า 3,000 เคส คุณจึงมั่นใจได้เลยว่า Hairsmith Clinic คือตัวจริงเรื่องปลูกผมถาวรอันดับต้นๆ ของประเทศแน่นอน
